ปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็นที่ทิ้งไว้หลังจากสิวหาย เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจและส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของใครหลายคน ผิวหน้าที่เคยเรียบเนียนกลับกลายเป็นหลุมบ่อ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้หลายคนพยายามหาวิธีแก้ไข บทความนี้ The Loft Clinic จะพาไปทำความเข้าใจว่าหลุมสิวเกิดจากสาเหตุใด มีลักษณะแบบไหนบ้าง และแนะนำวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียน เสริมสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง
หลุมสิวคืออะไร
หลุมสิว (Atrophic Scars) คือ แผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มหรือยุบตัวลงไปใต้ระดับผิวหนังปกติ ทำให้ผิวบริเวณนั้นดูไม่เรียบเนียน โดยเป็นผลพวงมาจากการอักเสบของสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบรุนแรง ที่สร้างความเสียหายลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) เมื่อสิวหาย กระบวนการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นมาใหม่นั้นไม่สมบูรณ์ หรือมีการสร้างคอลลาเจนที่ไม่เพียงพอ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เคยอักเสบยุบตัวลง กลายเป็นรอยแผลเป็นหลุมทิ้งไว้ ซึ่งแตกต่างจากรอยแดงหรือรอยดำหลังสิวหาย ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี แต่ไม่ได้ทำให้โครงสร้างผิวเกิดการยุบตัว
หลุมสิวเกิดจากอะไร
สาเหตุหลักของการเกิดหลุมสิวคือ การอักเสบอย่างรุนแรงของสิว เมื่อสิวอักเสบ ร่างกายจะตอบสนองโดยการส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมาจัดการเชื้อแบคทีเรีย แต่กระบวนการนี้เองก็อาจทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ไปด้วย โดยหลังจากสิวหาย ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย แต่หากการอักเสบรุนแรง หรือมีการจัดการสิวที่ไม่ถูกต้อง เช่น การบีบ เค้น แกะสิว ซึ่งทำให้การอักเสบลุกลามและทำลายเนื้อเยื่อมากขึ้น อาจส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมผิดพลาด เกิดการสร้างคอลลาเจนทดแทนไม่เพียงพอ หรือเกิดพังผืด (Fibrosis) ดึงรั้งผิวหนังให้ยุบตัวลง จนทำให้กลายเป็นหลุมสิวนั่นเอง
หน้าเป็นหลุมสิวมักเกิดจากสิวประเภทไหน
ไม่ใช่สิวทุกประเภทที่จะทิ้งรอยหลุมไว้ แต่สิวที่มีการอักเสบรุนแรงและลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ คือตัวการสำคัญที่มักก่อให้เกิดหลุมสิว เนื่องจากสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างผิวมากกว่า สิวประเภทที่มักเป็นสาเหตุของหลุมสิว ได้แก่
- สิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts) : เป็นสิวขนาดใหญ่ อักเสบลึกใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง เจ็บเมื่อสัมผัส การอักเสบที่รุนแรงนี้ทำลายเนื้อเยื่อและคอลลาเจนอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที เมื่อสิวหายจึงมักทิ้งรอยแผลเป็นหลุมลึกไว้
- สิวหัวหนอง (Pustules) และ สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Papules) : แม้บางครั้งอาจไม่รุนแรงเท่าสิวหัวช้าง แต่สิวหัวหนองที่มีหนองชัดเจน หรือสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ ก็มีการอักเสบที่สามารถทำลายคอลลาเจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการบีบหรือแกะสิว จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวอย่างมาก
- สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียลุกลาม (Nodulocystic/Conglobate Acne) : เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงมาก การอักเสบกระจายตัวเป็นวงกว้างใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่ออย่างกว้างขวาง และมีโอกาสสูงมากที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหลุมสิวที่รุนแรงและรักษายาก
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ความลึกและความรุนแรงของการอักเสบเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดหลุมสิว มากกว่าจำนวนสิวที่เป็น สิวอักเสบลึกเพียงไม่กี่เม็ดจึงมีโอกาสทิ้งรอยหลุมได้มากกว่าสิวอุดตันหัวขาวจำนวนมาก
หลุมสิวมีกี่แบบ
หลุมสิวไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด การทำความเข้าใจประเภทของหลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละแบบมีลักษณะความลึก ความกว้าง และการตอบสนองต่อวิธีรักษาหลุมสิวที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- Ice Pick Scars (หลุมสิวแบบจิก) : มีลักษณะเป็นหลุมแคบ ปากหลุมเล็ก แต่ลึกมาก ขอบชัด เหมือนโดนของแหลมจิกลงไป เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 60-70%) และมักถือว่ารักษายากที่สุดเนื่องจากความลึกของหลุม
- Boxcar Scars (หลุมสิวแบบกล่อง) : เป็นหลุมที่มีขอบเขตชัดเจน ลักษณะคล้ายกล่องหรือบ่อ ปากหลุมและก้นหลุมมีความกว้างใกล้เคียงกัน อาจมีรูปร่างกลมหรือรี ความกว้างประมาณ 3-4 มม. มีทั้งแบบตื้นและแบบลึก อาจเกิดจากสิวอักเสบหรืออีสุกอีใส และบางครั้งอาจมีพังผืดเกาะติดอยู่ด้านล่าง
- Rolling Scars (หลุมสิวแบบแอ่งคลื่น/แอ่งกระทะ) : มีลักษณะเป็นแอ่งกว้าง (4-5 มม. ขึ้นไป) แต่ตื้น ขอบหลุมไม่ชัดเจน มีลักษณะโค้งมน ลาดเอียงคล้ายลูกคลื่นหรือก้นกระทะ เกิดจากพังผืดดึงรั้งผิวหนังชั้นบนให้ยุบตัวลง มักเป็นประเภทที่รักษาให้ดีขึ้นได้ง่ายที่สุด
ในคนคนหนึ่งมักพบหลุมสิวหลายประเภทปะปนกันอยู่บนใบหน้า ซึ่งหมายความว่า การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะต้องใช้วิธีการรักษาหลายอย่างผสมผสานกัน เพื่อให้สามารถจัดการกับหลุมสิวแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม
วิธีรักษาหลุมสิวมีอะไรบ้าง
แม้ว่าหลุมสิวจะเป็นปัญหาที่รักษายากและไม่สามารถหายเองได้ แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยี และวิธีรักษาหลุมสิวทางการแพทย์หลายวิธีที่สามารถช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นและผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นได้ โดยเป้าหมายหลักของการรักษาคือ การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำลายหรือคลายพังผืดที่ดึงรั้งผิว และ/หรือเติมเต็มเนื้อเยื่อในส่วนที่ยุบตัวลงไป โดยการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับประเภท ความรุนแรงของหลุมสิว สภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาที่จำเพาะสำหรับแต่ละคน
1. รักษาหลุมสิวด้วย Program Picosecond Laser
Program Picosecond Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานแสงในช่วงเวลาสั้นระดับพิโควินาที (1 ต่อล้านล้านวินาที) ในการรักษาหลุมสิว เลเซอร์ชนิดนี้จะสร้างปรากฏการณ์ Laser-Induced Optical Breakdown (LIOB) หรือการทำให้เกิดช่องว่างขนาดเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมที่ผิวชั้นบนมากนัก กระบวนการนี้จะกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวจากด้านล่าง
นอกจากนี้ Program Picosecond Laser ยังมีประสิทธิภาพในการลดเลือนรอยดำ รอยแดง ที่มักเกิดร่วมกับหลุมสิวได้อีกด้วย และมีข้อดีคือใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์แบบเก่าที่ทำให้เกิดแผลบนผิวหนัง โดยที่ The Loft Clinic ใช้เครื่อง Discovery Pico ซึ่งเป็นProgram Picosecond Laser ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวหลากหลาย รวมถึงหลุมสิว และรอยดำรอยแดงจากสิวด้วย
2. รักษาหลุมสิวด้วย Program Fractional RF
Program Fractional RF (Radiofrequency) คือ การใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุส่งผ่านลงไปในชั้นผิวหนังแท้เพื่อสร้างความร้อนในระดับที่ควบคุมได้ พลังงานนี้มักถูกส่งผ่านหัวปล่อยพลังงานที่มีลักษณะเป็นเข็มขนาดเล็กจำนวนมาก (Microneedling RF) หรือผ่านขั้วไฟฟ้าขนาดเล็ก ทำให้เกิดความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายตัวในชั้นผิว
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่จำนวนมาก ช่วยปรับโครงสร้างผิว ซ่อมแซมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น และยังช่วยให้ผิวโดยรวมกระชับขึ้นด้วย
วิธีนี้มีประสิทธิภาพดีกับหลุมสิวประเภท Rolling และ Boxcar และมีความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังทำน้อยกว่าเลเซอร์บางชนิด จึงค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนที่มีสีผิวเข้ม การพักฟื้นหลังทำมักไม่นาน อาจมีเพียงรอยแดง หรือบวมเล็กน้อยเท่านั้นเอง
3. รักษาหลุมสิวด้วยการแต้มกรด (TCA CROSS)
TCA CROSS (Chemical Reconstruction of Skin Scars) เป็นเทคนิคการรักษาหลุมสิวเฉพาะจุด โดยใช้กรด Trichloroacetic Acid (TCA) ที่มีความเข้มข้นสูง (ตั้งแต่ 50-100%) แต้มลงไปบริเวณก้นหลุมสิวโดยตรงอย่างแม่นยำ
กรด TCA จะทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นอย่างควบคุมได้ กระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบและการซ่อมแซมตามมา ส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มก้นหลุม ทำให้หลุมค่อย ๆ ตื้นขึ้น
วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงมากสำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick ที่มีลักษณะแคบและลึก รวมถึงหลุม Boxcar ขนาดเล็ก ซึ่งมักจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นได้ไม่ดีนัก การรักษาต้องทำซ้ำหลายครั้ง หลังทำจะเกิดสะเก็ดสีขาวหรือน้ำตาลเข้มซึ่งจะหลุดออกไปเอง และเนื่องจากใช้กรดความเข้มข้นสูง จึงจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น
4. รักษาหลุมสิวด้วยการเซาะพังผืด (Subcision)
Subcision หรือ การตัด/เซาะพังผืด เป็นหัตถการขนาดเล็กที่ใช้เข็มชนิดพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว เพื่อตัดหรือเลาะพังผืด (Fibrous bands) ที่ยึดเกาะและดึงรั้งผิวหนังให้ยุบตัวลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar บางชนิดที่มีการดึงรั้ง
เมื่อพังผืดถูกตัดออก ผิวหนังบริเวณนั้นจะถูกปลดปล่อยจากการดึงรั้ง ทำให้หลุมสิวลอยตัวสูงขึ้น ดูตื้นขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการสอดเข็มและตัดพังผืดยังกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมและการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ช่วยให้หลุมสิวเต็มขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย
รักษาหลุมสิวด้วยการเซาะพังผืดมีประสิทธิภาพมากสำหรับหลุมสิวแบบ Rolling Scar และมักทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ Program Fractional RF โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ หรือการใช้สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี หลังทำอาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำได้ชั่วคราว
5. รักษาหลุมสิวด้วยการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator)
Biostimulator หรือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นกลุ่มสารฉีดที่ทำงานแตกต่างจากฟิลเลอร์แบบดั้งเดิม ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ เช่น Program Sculptra (PLLA – Poly-L-Lactic Acid), Program Radiesse (CaHA – Calcium Hydroxylapatite), Program Rejuran (PN – Polynucleotide) เมื่อฉีดสารเหล่านี้เข้าสู่ผิวหนัง มันจะไปกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้ทำงานมากขึ้นและผลิตเส้นใยโปรตีนเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ
กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ส่งผลให้ผิวหนังมีความหนาแน่น แข็งแรง ยืดหยุ่น และเรียบเนียนขึ้น หลุมสิว (โดยเฉพาะ Rolling และ Boxcar) จะค่อยๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ยาวนาน อาจถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น โดยการรักษาด้วย Biostimulator มักต้องทำเป็นคอร์สประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
6. รักษาหลุมสิวด้วยการโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ (Program Filler) เพื่อรักษาหลุมสิว โดยทั่วไปจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในผิวหนัง มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี แพทย์จะฉีด HA Filler เข้าไปใต้บริเวณหลุมสิว เพื่อเติมเต็มช่องว่างและยกผิวที่ยุบตัวให้สูงขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังฉีด
วิธีนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวชนิด Rolling Scar หรือ Boxcar Scar ที่ไม่ลึกมากและไม่มีพังผืดยึดเกาะรุนแรง นอกจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วแล้ว HA Filler ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และอาจกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากโปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์นั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราว (ประมาณ 6-18 เดือน) เนื่องจากสาร HA จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติ จึงต้องมีการฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ การเลือกชนิดของฟิลเลอร์ (เนื้อนิ่ม โมเลกุลละเอียด) และความชำนาญของแพทย์ผู้ฉีดเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว
ถึงแม้จะมีวิธีรักษาหลุมสิวหลากหลายวิธี แต่การป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวตั้งแต่แรกย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การดูแลผิวอย่างถูกวิธีในช่วงที่เป็นสิว สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นถาวรได้มาก โดยแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวที่สำคัญ มีดังนี้
- รักษาสิวให้เร็วและถูกวิธี : อย่าปล่อยให้สิวอักเสบรุนแรงลุกลาม หากเป็นสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด การควบคุมการอักเสบได้เร็วจะช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อผิวหนัง สำหรับสิวที่ไม่รุนแรง อาจใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น กลุ่ม Retinoids หรือ Benzoyl Peroxide เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือเค้นสิว : เป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุด การพยายามกด หรือบีบสิวเองจะยิ่งทำให้ผิวบอบช้ำ การอักเสบลึกลงไปมากขึ้น และเพิ่มโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะแพร่กระจาย ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวอย่างมาก ควรปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติ หรือหากจำเป็น ควรให้ผู้เชี่ยวชาญกดออกให้ และห้ามแกะสะเก็ดแผลเด็ดขาด
- รักษาความสะอาดและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม : ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้ง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง หรือก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงการขัดถูผิวแรงๆ รักษาความสะอาดของมือ หน้าจอโทรศัพท์ และปลอกหมอน
- ปกป้องผิวจากแสงแดด : แสงแดดสามารถทำให้รอยดำหลังการอักเสบเข้มขึ้น และอาจรบกวนกระบวนการสมานแผล ทำให้หลุมสิวดูชัดเจนขึ้นได้ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ขึ้นไป และปกป้องได้ทั้งรังสี UVA/UVB เป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดดจัด
การป้องกันหลุมสิวไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ยังรวมถึงการลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ เช่น การรีบรักษา การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และการปกป้องผิว ซึ่งต้องอาศัยความใส่ใจดูแลอย่างสม่ำเสมอ
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิว หลายคนมักมีคำถามและข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการรักษา นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว
1. หน้าเป็นหลุมสิวใช้อะไรดี?
สำหรับหลุมสิวตื้นๆ หรือรอยสิวที่ไม่รุนแรงมาก การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสม เช่น Retinoids, AHA, BHA หรือ Vitamin C อาจช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้บ้าง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักไม่สามารถแก้ไขหลุมสิวที่ลึกหรือเป็นมานานได้อย่างมีนัยสำคัญ หากต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ หรือ Fractional RF มักเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
2. หลุมสิวหายเองได้ไหม?
โดยทั่วไปแล้ว หลุมสิว โดยเฉพาะชนิด Ice Pick และ Boxcar ที่มีความลึก จะไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากหลุมสิวคือร่องรอยของแผลเป็นถาวรที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนหรือการเกิดพังผืดยึดติดในชั้นผิว ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้เองโดยสมบูรณ์ หลุมสิวที่ตื้นมากๆ อาจดูดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากต้องการให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์
3. หลุมสิวรักษาวิธีไหนดีที่สุด?
วิธีรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว (Ice Pick, Boxcar, Rolling), สภาพผิวของแต่ละบุคคล, งบประมาณ และความสามารถในการพักฟื้นหลังการรักษา
บ่อยครั้ง การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการใช้หลายวิธีผสมผสานกัน เช่น การทำ Subcision เพื่อตัดพังผืด ร่วมกับการทำเลเซอร์หรือ Fractional RF เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
4. หลุมสิวนานไหมกว่าจะหายไป?
การรักษาหลุมสิวเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ไม่สามารถเห็นผลได้ในทันที ระยะเวลาที่ใช้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้ ความรุนแรงของหลุมสิว และการตอบสนองของผิวแต่ละคน
การรักษาส่วนใหญ่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง เช่น 3-6 ครั้ง หรือมากกว่านั้น โดยเว้นระยะห่างระหว่างครั้งประมาณ 2-6 สัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็น เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ต้องใช้เวลา อาจใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปีจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด ความอดทนและการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เคลียร์หลุมสิว เผยผิวหน้าเรียบเนียน ที่ The Loft Clinic
“หลุมสิว” เป็นผลมาจากการที่ผิวซ่อมแซมตัวเองไม่สมบูรณ์หลังการอักเสบของสิว มีลักษณะแตกต่างกันไปหลายประเภท และไม่สามารถหายไปเองได้ ในปัจจุบันมีวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพหลายวิธี การเลือกแนวทางการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนขึ้นได้
หากคุณกำลังประสบปัญหา “หน้าเป็นหลุมสิว” และต้องการคำปรึกษาจากคุณหมอ The Loft Clinic พร้อมให้การดูแลด้วยแพทย์ เรามีเทคโนโลยีมากมาย เช่น Program Discovery Pico Laser และหัตถการอื่น ๆ ที่จะช่วยออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิวของคุณอย่างตรงจุด ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากสนใจ สามารถนัดหมายเข้ามาปรึกษาคุณหมอได้เลยที่ Facebook : The Loft Clinic Line : @theloftclinic หรือโทร : 061-812-1166 เจ้าหน้าที่ของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างดีที่สุด!