หัตถการรักษาสิว

อยากสิวหาย ต้องรู้จักสิวมีกี่ประเภท สาเหตุคืออะไร เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

สิวมีกี่ประเภท

ปัญหาสิวคือหนึ่งในภาวะทางผิวหนังที่พบได้บ่อย ไม่ว่าใครก็มีโอกาสเกิดสิวได้ การจัดการกับสิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายครั้งที่การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจถึงต้นตอและประเภทของสิวที่กำลังเผชิญอยู่ การทำความเข้าใจว่าสิวมีกี่ประเภท สิวแต่ละแบบเกิดจากสาเหตุใด และต้องการการดูแลที่แตกต่างกันอย่างไร คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การมีผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีในระยะยาว บทความนี้จะพาเราไปเจาะลึกถึงประเภทของสิวอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทำความรู้จัก 2 ประเภทหลักของสิว

ก่อนที่เราจะตอบคำถามทั้งหมดได้ เราต้องเริ่มจากการจำแนกประเภทของสิวเสียก่อน ในทางการแพทย์ ผิวหนังสามารถแบ่งสิวออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สิวไม่อักเสบ และสิวอักเสบ 

1. สิวไม่อักเสบ (Non-Inflammatory Acne) หรือ สิวอุดตัน

สิวไม่อักเสบ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สิวอุดตัน” (Comedones) คือ สิวที่เกิดจากการที่น้ำมัน (Sebum) และเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วไปสะสมอุดตันอยู่ในรูขุมขน แต่ยังไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีอาการปวด ลักษณะของสิวประเภทนี้จะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กอยู่บนผิวหนัง โดยสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

  • สิวหัวขาว หรือสิวอุดตันหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีขาวหรือสีเดียวกับผิวหนัง เกิดจากการอุดตันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้รูขุมขนปิดสนิท สิ่งอุดตันที่อยู่ภายในจึงไม่สัมผัสกับอากาศภายนอกและยังคงมีสีขาวอยู่ สิวประเภทนี้มักพบได้บ่อยบริเวณหน้าผาก ข้างแก้ม และคาง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเป็นไตแข็ง ๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด
  • สิวหัวดำ (Blackheads) หรือสิวอุดตันหัวเปิด เป็นสิวอุดตันที่รูขุมขนยังคงเปิดอยู่ ทำให้ส่วนบนของสิ่งอุดตันซึ่งประกอบด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวได้สัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) กับเม็ดสีเมลานิน ทำให้เปลี่ยนเป็นจุดสีดำ ๆ ที่เรามองเห็น ไม่ใช่เกิดจากความสกปรกแต่อย่างใด ส่วนใหญ่แล้วสิวหัวดำมักพบบริเวณจมูกและหน้าผาก

2. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอักเสบคือสิวอุดตันที่พัฒนาไปอีกขั้น โดยมีการติดเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนเป็นปกติ แต่เข้าไปเจริญเติบโตในบริเวณที่อุดตัน ทำให้ร่างกายสร้างกระบวนการอักเสบขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ส่งผลให้เกิดอาการบวม แดง เจ็บ และอาจมีหนองร่วมด้วย ซึ่งการจำแนกประเภทสิวอักเสบจะช่วยให้เข้าใจว่า สิวมีกี่ประเภทในกลุ่มนี้ และมีความรุนแรงระดับใด

  • สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบในระยะเริ่มต้น มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก ไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ แต่ยังไม่มีหัวหนองให้เห็นอย่างชัดเจน เกิดจากผนังรูขุมขนแตกออก ทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งอุดตันกระจายตัวสู่ผิวหนังชั้นใกล้เคียง กระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้น
  • สิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวที่พัฒนาต่อมาจากสิวตุ่มแดง ลักษณะเด่นคือมีจุดหนองสีขาวหรือสีเหลืองอยู่บริเวณกึ่งกลางของตุ่มแดง ซึ่งหนองนั้นเกิดจากซากของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มาต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย สิวประเภทนี้มักมีอาการเจ็บปวดและไม่ควรบีบหรือแกะ เพราะอาจทำให้การอักเสบลุกลามและเกิดรอยแผลเป็นได้
  • สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่และรุนแรงขึ้น การอักเสบจะเกิดขึ้นในชั้นผิวที่ลึกกว่าสิวทั่วไป ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บปวดมาก สิวหัวช้างไม่มีหัวหนองที่ชัดเจนและมักทิ้งรอยแผลเป็นหลุมลึกไว้หลังการอักเสบยุบลง
  • สิวซีสต์ (Cysts) ถือเป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นถุงหนองขนาดใหญ่อยู่ลึกใต้ชั้นผิวหนัง ภายในบรรจุของเหลวหรือหนองปนเลือด เมื่อสัมผัสจะรู้สึกนิ่มกว่าสิวหัวช้างแต่เจ็บปวดมากเช่นกัน สิวซีสต์เกิดจากการอักเสบที่รุนแรงและลุกลามเป็นวงกว้าง มีความเสี่ยงสูงมากที่จะกลายเป็นแผลเป็นชนิดหลุมหรือแผลเป็นนูน (Keloid) หลังสิวหาย

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิว ปัญหาผิวที่ทุกคนเคยเจอ

สาเหตุในการเกิดสิว

หลังจากที่เราทราบแล้วว่าสิวมีกี่ประเภท และมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ขั้นต่อไปคือการทำความเข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดสิวขึ้น หลัก ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญที่ทำงานร่วมกัน และมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เป็นตัวกระตุ้นเสริม

การผลิตน้ำมันมากเกินไป

ต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ใต้ผิวหนังของเรามีหน้าที่ผลิตน้ำมันหรือซีบัมเพื่อหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ต่อมไขมันทำงานมากผิดปกติ จะทำให้มีปริมาณน้ำมันบนผิวเยอะเกินความจำเป็น ซึ่งภาวะนี้มักถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น การมีน้ำมันบนผิวมากเกินไปจะเพิ่มโอกาสในการเกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ง่ายขึ้น

การอุดตันของรูขุมขน

เซลล์ผิวหนังชั้นนอกจะมีการผลัดตัวออกไปตามวงจรธรรมชาติ แต่ในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย กระบวนการนี้อาจทำงานผิดปกติ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วไม่ถูกผลัดออกไปอย่างสมบูรณ์ แต่กลับไปจับตัวกับน้ำมันส่วนเกินที่ถูกผลิตออกมา กลายเป็นก้อนเหนียวที่เรียกว่า “โคมีโดน” (Comedone) ซึ่งจะไปอุดตันทางออกของรูขุมขนและเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสิว

เชื้อแบคทีเรีย P. acnes

เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (หรือ Cutibacterium acnes) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราเป็นปกติ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ แต่เมื่อเกิดภาวะรูขุมขนอุดตัน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ไร้ออกซิเจนและเต็มไปด้วยน้ำมัน จะกลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่ทำให้เชื้อ P. acnes เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาจัดการ ก่อให้เกิดกระบวนการอักเสบตามมา

ปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ

นอกเหนือจาก 3 สาเหตุหลัก ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้สิวรุนแรงขึ้นได้

  • ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะเครียด
  • กรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อขนาดและการทำงานของต่อมไขมัน
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางบางชนิดที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic)
  • การเสียดสีหรือระคายเคืองผิวบ่อย ๆ 
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ

แนวทางการรักษาสิวแต่ละประเภทให้เห็นผล

การรักษาสิวแต่ละประเภท

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าสิวมีกี่ประเภท และมีสาเหตุมาจากอะไร การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของสิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิวแต่ละแบบต้องการการดูแลที่แตกต่างกันออกไป

การรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบที่ไม่รุนแรง

สำหรับสิวอุดตัน (สิวหัวขาว และสิวหัวดำ) และสิวอักเสบระดับเริ่มต้น (ตุ่มแดง สิวหัวหนองเล็กน้อย) การดูแลเบื้องต้นมักจะเน้นการใช้ยาทาเฉพาะที่ เพื่อช่วยลดการอุดตันและควบคุมเชื้อแบคทีเรีย เช่น 

  • กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) ที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
  • Benzoyl Peroxide (BP) ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ P. acnes
  • Salicylic Acid (BHA) ที่ช่วยสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน

การรักษาสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง

ในกรณีของสิวอักเสบระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ ซึ่งการอักเสบอยู่ลึกใต้ชั้นผิว การใช้ยาทาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง ซึ่งอาจพิจารณาให้การรักษาด้วยยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอชนิดรับประทาน (Isotretinoin) สำหรับเคสที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ The Loft Clinic

นอกจากการใช้ยาแล้ว ยังมีหัตถการทางการแพทย์ที่สามารถช่วยรักษาสิวและลดรอยสิวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

  • การกดสิวอุดตันโดยผู้ชำนาญ เพื่อนำสิ่งอุดตันออกอย่างถูกวิธี 
  • การฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบของสิวหัวช้างให้ยุบลงอย่างรวดเร็ว 
  • การทำเลเซอร์รอยสิว เพื่อช่วยทำให้รอยสิวที่ถูกทิ้งไว้หลังจากเป็นสิวให้จางลงได้ 
  • การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) เพื่อลดการอุดตันและทำให้รอยสิวจางลง

สรุปการรักษาสิวที่ดีที่สุดคือการเข้าใจประเภทและสาเหตุ

การรักษาสิวให้ได้ผลดีและยั่งยืนควรเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าสิวมีกี่ประเภท และสิวที่เราเป็นอยู่คือชนิดใด เมื่อเราสามารถระบุประเภทของสิวได้อย่างถูกต้อง ร่วมกับการทำความเข้าใจสาเหตุพื้นฐานที่กระตุ้นให้เกิดสิว จะทำให้เราสามารถเลือกวิธีการดูแลและรักษาที่ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ ซึ่งจะช่วยควบคุมปัญหาสิวและฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงเรียบเนียนได้อีกครั้ง

แชร์บทความนี้

บทความแนะนำ